ยินดีต้อนรับสู่บล็อกค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนครั้งที่ 3

 วันพุธ ที่ 24 เมษายน 2561

เวลา 08.30-11.30 น.

_________________________________

ความรู้ที่ได้รับ
  • นำเสนอคำคมเกี่ยวผู้บริหาร




  • บทบาทหน้าที่ของผู้บริหาร
บทบาทของผู้บริหาร ผู้นำในยุคโลกาภิวัตน์
เมื่อกล่าวถึงผู้นำ คนส่วนใหญ่จะคิดถึงภาพของผู้ที่มีอำนาจ มีตำแหน่งใหญ่โต มีอิทธิพล ต่อผู้อื่น ผู้นำที่ยิ่งใหญ่สามารถสั่งการได้ หรือเดินตามในทิศทางที่ผู้นำก้าวเดินหรือกำหนดให้ ผู้คนเกรงกลัวนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในการบริหาร ผู้นำยังคงเป็นความคาดหวังสูงสุดในการแบกรับภาระ นำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จ แต่ทว่า บทบาทผู้นำในยุคของพระนเรศวรมหาราชกับผู้นำของวันนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะในโลกของธุรกิจ หากผู้นำคนใดยังผูกขาดการตัดสินใจ ไม่ยอมสร้างการมีส่วนร่วม ก็ยากที่จะนำพาองค์กรหรือประเทศอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ผู้นำยุคนี้ต้องทำงานเชิงรุกเพื่อสร้างความได้เปรียบอยู่เสมอ

 ความรู้เกี่ยวกับผู้นำ
 ความหมายและประเภทของผู้นำ
  ผู้นำ (Leader) หมายถึง บุคคลที่มีศิลป บุคลิกภาพ ความสามารถ เหนือบุคคลทั่วไป สามารถชักจูงให้ผู้อื่นปฏิบัติตามที่ต้องการได้ ส่วนความเป็นผู้นำ (Leadership)เป็นกระบวนการที่มีอิทธิพลต่อกลุ่ม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายผู้บริหารทุกคนควรเป็นผู้นำ และมีภาวะผู้นำ แต่ผู้นำไม่สามารถเป็นผู้บริหารที่ดีได้ทุกคนเพราะผู้บริหารต้องมีทักษะมีความสามารถในหน้าที่ของผู้บริหารด้วย

ประเภทของผู้นำ
1.ผู้นำตามอำนาจหน้าที่    เป็นผู้นำโดยอาศัยอำนาจหน้าที่ (Authority) และมีอำนาจบารมี (Power) เป็นเครื่องมือ มีลักษณะที่เป็นทางการ (Formal) และไม่เป็นทางการ (Informal) เกิดพลังร่วมของกลุ่มในการดำเนินงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ อำนาจนี้ได้มาจาก กฎหมาย กฎระเบียบ หรือขนบธรรมเนียม ในการปฏิบัติ จำแนกผู้นำประเภทนี้ออกเป็น 3 แบบ คือ 1 ผู้นำแบบใช้พระเดช 2  ผู้นำแบบใช้พระคุณ  3  ผู้นำแบบพ่อพระ
 1.1 ผู้นำแบบใช้พระเดช  (Legal Leadership) ผู้นำแบบนี้เป็นผู้นำที่ได้อำนาจในการปกครองบังคับบัญชาตามกฎหมายมีอำนาจตามตำแหน่งหน้าที่ราชการมาหรือเกิดขึ้นจากตัวผู้นั้น หรือจากบุคลิกภาพของผู้นั้นเอง ผู้นำแบบนี้ได้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในกระทรวง ทบวง กรม เช่น รัฐมนตรี อธิบดี หัวหน้ากอง และหัวหน้าแผนก เป็นต้น
1.2  ผู้นำแบบใช้พระคุณ  (Charismatic Leadership) ผู้นำที่ได้อำนาจเกิดขึ้นจากบุคลิกภาพอันเป็นคุณสมบัติส่วนตัวของผู้นั้น มิใช่อำนาจที่เกิดขึ้นจากตำแหน่งหน้าที่ ความสำเร็จในการครองใจและชนะใจของผู้นำประเภทนี้ ได้มาจากแรงศรัทธาที่ก่อให้ผู้อยู่ใต้บังคับเกิดความเคารพนับถือและเป็นพลังที่จะช่วยผลักดันให้ร่วมจิตร่วมใจกัน ปฏิบัติตามคำสั่งแนะนำด้วยความเต็มใจ ตัวอย่างได้แก่ มหาตมะคันธี ซึ่งสามารถใช้ภาวะการเป็นผู้นำครองใจชาวอินเดียนับเป็นจำนวนล้าน ๆ คน ได้
1.3  ผู้นำแบบพ่อพระ  (Symbolic Leadership) ผู้นำที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายมิได้ใช้อำนาจหน้าที่ในการปกครองบังคับบัญชา บุคคลเหล่านั้นปฏิบัติตามเพราะเกิดแรงศรัทธา หรือสัญญาลักษณ์ในตัวของผู้นั้นมากกว่า เช่น พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นองค์ประมุขและสัญลักษณ์ของแรงศรัทธาของประชาชนไทยทั้งมวล
2.  ผู้นำตามการใช้อำนาจ 
  2.1 ผู้นำแบบเผด็จการ   (Autocratic Leadership) หรือ อัตนิยม คือใช้อำนาจต่าง ๆ ที่มีอยู่ในการสั่งการแบบเผด็จการโดยรวบอำนาจ ไม่ให้โอกาสแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น   ตั้งตัวเป็นผู้บงการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟังโดยเด็ดขาด ปฏิบัติการแบบนี้เรียกว่า One Man Show อยู่ตลอดเวลาโดยไม่คำนึงถึงจิตใจของผู้ปฏิบัติงาน เช่น ฮิตเลอร์
2.2  ผู้นำแบบเสรีนิยม (Laisser-Faire Leadership) หรือ Free-rein Leadership ผู้นำแบบนี้เกือบไม่มีลักษณะเป็นผู้นำเหลืออยู่เลย คือ ปล่อยให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชากระทำกิจการใด ๆ ก็ตามได้โดยเสรี ซึ่งการกระทำนั้นต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย กฎระเบียบหรือข้อบังคับที่กำหนดไว้ และตนเป็นผู้ดูแลให้กิจการดำเนินไปได้โดยถูกต้องเท่านั้น มีการตรวจตราน้อยมากและไม่ค่อยให้ความช่วยเหลือในการดำเนินงานใด ๆ ทั้งสิ้น
2.3  ผู้นำแบบประชาธิปไตย (Democratic Leadership) ผู้นำแบบนี้ เป็นผู้นำที่ประมวลเอาความคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากคณะบุคคลที่อยู่ใต้บังคับบัญชาที่มาประชุมร่วมกัน อภิปรายแสดงความคิดเห็นในปัญหาต่าง ๆ เพื่อนำเอาความคิดที่ดีที่สุดมาใช้   ฉะนั้น   นโยบายและคำสั่งจึงมีลักษณะเป็นของบุคคลโดยเสียงข้างมาก
3 ผู้นำตามบทบาทที่แสดงออก จำแนกเป็น  3 แบบ คือ
3.1  ผู้นำแบบบิดา-มารดา (Parental Leadership) ผู้นำแบบนี้ ปฏิบัติตนเหมือนพ่อ-แม่ คือทำตนเป็นพ่อแม่เห็น ผู้อื่นเป็นเด็ก อาจจะแสดงออกมาในบทบาทของพ่อแม่ที่อบอุ่น ใจดี ให้กำลังใจ   หรืออาจแสดงออกตรงกันข้ามในลักษณะการตำหนิติเตียนวิพากษ์   วิจารณ์   คาดโทษ   แสดงอำนาจ
3.2  ผู้นำแบบนักการเมือง  (Manipulater Leadership) ผู้นำแบบนี้พยายามสะสมและใช้อำนาจ โดยอาศัยความรอบรู้และตำแหน่งหน้าที่การงานของคนอื่นมาแอบอ้างเพื่อให้ตนได้มีความสำคัญและเข้ากับสถานการณ์นั้น ๆ ได้ ผู้นำแบบนี้เข้าทำนองว่ายืมมือ ของผู้บังคับบัญชาของผู้นำแบบนี้อีกชั้นหนึ่ง  โดยเสนอขอให้สั่งการเพื่อประโยชน์แก่การสร้างอิทธิให้แก่ตนเอง
3.3  ผู้นำแบบผู้เชี่ยวชาญ  (Expert Leadership) ผู้นำแบบนี้เกือบจะเรียกว่าไม่ได้เป็นผู้นำตามความหมายทางการบริหาร เพราะมีหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำแก่ Staff  ผู้นำแบบนี้มักเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีความรู้เฉพาะอย่าง เช่น คุณหมอพรทิพย์ มีความเชี่ยวชาญในการตรวจ DNAถ้าพิจารณาจากบุคลิกภาพอีริก เบิร์น จิตแพทย์ชาวอเมริกัน ได้วิเคราะห์โครงสร้างของบุคลิกภาพของคนว่ามีอยู่ 3 องค์ประกอบ  คือภาวะของความเป็นเด็ก (Child  egostate )  ภาวะของการเป็นผู้ใหญ่ (Adult egostate ) และภาวะของความเป็นผู้ปกครอง  (Parents  egostate)  ก็จะมองผู้นำได้เป็น 3 แบบ คือภาวะความเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ พ่อแม่ ในแบบผู้นำ

คุณสมบัติของผู้นำ
ผู้ที่จะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ได้ จะต้องเป็นมาตั้งแต่เกิด ไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาภายหลังได้ (Leader are bone, not made)  คุณสมบัติพื้นฐานที่ทำให้ผู้นำแตกต่างจากบุคคลทั่วไป
1. ความมุ่งมั่น (drive)
2. แรงจูงใจในการเป็นผู้นำ (Leadership Motivation)
3. ความซื่อสัตย์ (Integrity)
4. ความเฉลียวฉลาด (Intelligence)
5. ความมั่นใจในตัวเอง (Self-confidence)
6ความรอบรู้ในสิ่งที่ตนเองทำ (Knowledge of the Business)

ภาวะผู้นำ (Leadership)
ภาวะผู้นำ กระบวนการหรือพฤติกรรมการใช้อิทธิพลเพื่อควบคุม สั่งการ เกลี้ยกล่อม จูงใจ ให้ผู้ตามหรือกลุ่ม ปฏิบัติตามเพื่อการบรรลุเป้าหมาย หรือความเป็นผู้นำนั้นเอง คุณสมบัติของผู้นำมีหลายอย่าง หลายด้าน ผู้นำจะต้องมีความสามารถในการปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้องและได้ผลดี โดยมีองค์ประกอบดังนี้
1. ตัวผู้นำ   
2. ผู้ตาม
3. จุดหมาย   
4. หลักการและวิธีการ
5. สิ่งที่จะทำ   
6. สถานการณ์

 ลักษณะและบทบาทของผู้นำ
 ผู้นำจะนำไปในทิศทางที่ถูกต้องเสมอ ดังนั้น คนที่เป็นผู้นำที่เข้มแข็ง ก็อาจจะไม่ใช่ผู้จัดการ หรือบริหารที่ดีได้ หรือผู้บริหาร-ผู้จัดการที่ดี ก็อาจไม่ใช่ผู้นำที่ดีก็ได้ ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ องค์การหนึ่งองค์การใดที่ต้องการประสบความสำเร็จ ก็ย่อมต้องการผู้บริหาร หรือผู้จัดการที่มีลักษณะเป็นผู้นำดังนี้
1. ต้องมีความฉลาด (Intelligence)
2. ต้องมีวุฒิภาวะทางสังคมและใจกว้าง (Social Maturity & Achievement Drive) 3. ต้องมีแรงจูงใจภายใน (Inner Motivation)
4. ต้องมีเจตคติที่ดีเกี่ยวกับมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations Attitudes)

บทบาทหน้าที่ของผู้นำ
 1. ชี้แนะ ให้คำปรึกษา กำกับดูแล (Coaching)
 2. เปลี่ยนทัศนคติลึก ๆ ในตัวคน
 3.  ดึงศักยภาพที่มีอยู่ โดยไม่ต้องเอาความรู้ข้างนอกมามากนัก
 4.  ทำให้สถานที่ทำงานเป็นที่รักของพนักงาน
5.   Full fill Basic Need ให้คนในองค์การ เช่น ให้ตำแหน่ง
6.  ดึงคนให้หลุดพ้นจากความเห็นแก่ตัว ทัศนคติต้องเปลี่ยน

ผู้นำยุคใหม่
คุณสมบัติของผู้นำตามอักษรแต่ละตัวในคำว่า LEADERSHIP มีความหมายบ่งชี้ถึงลักษณะต่างๆ ของผู้นำที่ดี ดังนี้
  1. L คือ Listen เป็นผู้ฟังที่ดี..
  2. E คือ Explain สามารถอธิบายสิ่งต่างๆ ให้เข้าใจได้..
  3. A คือ Assist ช่วยเหลือเมื่อควรช่วย…
  4. D คือ Discuss รู้จักแลกเปลี่ยนความคิดเห็น..
  5. E คือ Evaluation ประเมินผลการปฏิบัติงาน..
  6. R คือ Response แจ้งข้อมูลตอบกลับ…
  7. S คือ Salute ทักทายปราศรัย...
  8. H คือ Health มีสุขภาพดีทั้งกายและใจ..
  9. I คือ Inspire รู้จักกระตุ้นและให้กำลังใจลูกน้อง..
  10. P คือ Patient มีความอดทนเป็นเลิศนั่นเอง..

ความรู้เกี่ยวกับผู้บริหาร
ผู้บริหาร หรือ ผู้จัดการ  เป็นสมาชิกในองค์กร  แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่ทำงานในองค์กรจะเป็นผู้บริหารทุกคน  สมาชิกในองค์กรขนาดใหญ่แบ่งเป็น 2 ประเภท   คือ ผู้ปฏิบัติงานกับผู้บริหาร ในองค์การนั้นผู้บริหารต่าง ๆ อาจมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เช่น  ผู้บริหารระดับล่างมักจะใช้ชื่อว่า  Supervisor  ถ้าในโรงงานอุตสาหกรรมจะเรียกว่า  Foreman   (หัวหน้างาน)   ส่วนผู้บริหารระดับกลางก็จะมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน  เช่น  ผู้จัดการโรงงาน ผู้จัดการแผนก หัวหน้าหน่วย  คณบดี  ผู้บริหารระดับสูงขององค์กร  รับผิดชอบในด้านนโยบาย กลยุทธ์  และตัดสินใจนั้น  ได้แก่ รองประธาน ประธาน  ผู้อำนวยการ อธิการ ประธานบอร์ด CEO
ผู้บริหารแบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ
 1.  ผู้บริหารทำหน้าที่สั่งการ  (Line Manager)
  2.  ผู้บริหารทำหน้าที่ให้คำแนะนำ  (Staff  Manager)
  3.  ผู้บริหารทำหน้าที่สั่งการเฉพาะด้าน  (Functional Manager)
  4.  ผู้บริหารทั่วไป  (General Manager)
  5.  ผู้บริหาร (Administrator)

คุณลักษณะของผู้บริหาร
 นักบริหารมืออาชีพได้สรุปคุณลักษณะดังนี้
1.  Vision   เป็นผู้มีวิสัยทัศน์
2.   Charisma   เป็นผู้มีเสน่ห์  มีแรงดึงดูด  สร้างความเชื่อให้คนเกิดความศรัทธา คล้อยตามได้
3.  Integrity   มีความเป็นปึกแผ่น  เหนียวแน่น
4.  Self – Less   ทำอะไรไม่นึกถึงตนเองแต่คำนึงถึงส่วนรวม
5.  Courage       มีความกล้าหาญ
6.  Uncompromising   ไม่ยอมอ่อนในเรื่องบางเรื่อง
7.  High   Ground    ความมีมาตรฐานในตัวเองมีความซื่อสัตย์   และมีความโปร่งใสสูง
8.  Listening   รู้จักฟัง
 9.  Fairness    มีความยุติธรรมเที่ยงธรรม
10.  Sense     of   Time มีสติ   รู้ทันเหตุการณ์ว่าต้องทำอะไร
11.  Know   Others Know   Oneself    เข้าใจคนอื่นและเข้าใจตนเอง หรือรู้เขารู้เรา
12.  Judgment   ยุติธรรม
13.  Inspiring    มีความมุ่งมั่น
14.  Faith    มีความเชื่อมั่น   ศรัทธา
15.  Institutional    มีความเป็นองค์กรนั้น

ผู้บริหารที่ดีควรที่จะมีคุณสมบัติของผู้นำควบคู่ไปด้วย ดังนี้
1.  มีภาวะผู้นำ   มีศิลปะในการครองใจคน
2.  มีเมตตาธรรม   ไม่มีอคติ  หรือ ฉันทคติ
3.  ต้องอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลและความถูกต้อง
4.  เป็นนักคิด  นักวิเคราะห์
5.  มีการสร้างวิสัยทัศน์
6.  มีทักษะหลายด้าน 
•  ทักษะในการตัดสินใจ 
•  ทักษะในการวางแผน 
• ทักษะในการจัดองค์กร 
• ทักษะในการแก้ไขปัญหา 
•ทักษะในการสร้างทีมงาน
7.  รอบรู้และมีข้อมูลที่ทันสมัย
8.  รู้และเข้าใจบทบาทหน้าที่ทันสมัย
9.  กล้าตัดสินใจ
10.  มียุทธวิธีและเทคนิค
11.  รู้จักประนีประนอมและยืดหยุ่น
12.  รู้จักการเจรจาต่อรอง (Win – Win) บางครั้งต้องรู้จัก แพ้เพื่อชนะ
13.  ประสานงานเป็นและประสานประโยชน์ได้
14.  รู้จักใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
15.  เป็นนักประชาธิปไตย
16.  กระจายอำนาจเป็น
17.  รู้จักทำงานในเชิงรุก
18.  พิจารณาคนเป็น
19.  โปร่งใสและตรวจสอบได้
20.  รู้จักควรไม่ควร  รู้จักความพอดี
คุณสมบัติที่ได้กล่าวมาทั้งหมดเป็นทั้ง ศาสตร์และศิลป์  ของผู้บริหารและผู้นำที่ต้องศึกษาเรียนรู้และพัฒนา  และปรับตัวให้เข้ากับสภาพเงื่อนไขต่าง ๆ ทันคน  ทันงาน  ทันการณ์  (กาล)  ทันเกมของการเปลี่ยนแปลงคนยุคเศรษฐกิจไร้พรมแดน

การบริหารงานให้บรรลุเป้าหมาย
       ต้องอาศัยทรัพยากรขององค์การขั้นพื้นฐาน คนเงิน วัตถุดิบ และทุน เป้าหมายของผู้บริหารทุกคนคือการทำให้เกิดผลกำไรและเพิ่มผลผลิต (ผลิตภาพ) นั่นคือการทำให้อัตราส่วนระหว่างผลผลิต (output) และปัจจัยการผลิต (input) เป็นที่น่าพอใจภายในเวลาที่กำหนดอย่างมีคุณภาพและบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ โดยมีเป้าหมายจะให้บังเกิดสิ่งต่อไปนี้คือ
การเพิ่มผลผลิต หรือผลิตภาพ (Productivity) หมายถึง ประสิทธิผล (effectiveness) และประสิทธิภาพ (efficiency) ในการปฏิบัติงานของแต่ละบุคคล รวมตลอดของทั้งองค์การ
ประสิทธิผล (effectiveness) คือ การบรรลุถึงวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายตามที่ต้องการ คือมองตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง
ส่วนประสิทธิภาพ (efficiency) นั่นคือความสามารถในการใช้ทรัพยากรให้น้อยที่สุด และเกิดประโยชน์สูงสุด

ระบบการบริหาร (Management System)
ระบบการบริหารแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. ระบบเปิด  (Open system) เป็นองค์การซึ่งดำเนินภายในและมีการปฏิสัมพัทธ์ (interacts) กับสภาวะแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก วิธีการบริหารงานอย่างอย่างมีระบบนั้นประกอบไปด้วย ปัจจัยจากสภาวะแวดล้อมภายนอกและจากการเรียกร้องขบวนการแปลงสภาพ ระบบการติดต่อสื่อสาร
2. ระบบปิด  (Closed System) เป็นระบบที่ไม่ต้องการอิทธิพลใด ๆ จากภายนอกและไม่ได้เกี่ยวข้องกับสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ ธุรกิจมักจะมองแต่ภายในองค์การของตนเองมากกว่าท่าจะสนใจกับสภาพแวดล้อม รอบ ๆ ตัวธุรกิจไม่ว่าจะเป็นลูกค้า รสนิยมผู้บริโภค สภาพการณ์ของตลาด ฯลฯ

ทักษะของผู้บริหาร
 Robert L. Katz ได้เสนอว่าทักษะของผู้บริหารที่สำคัญมี 3 อย่าง คือ
1)  ทักษะด้านเทคนิค   (Technical Skills)
2)ทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์  (Human Skills)
3)   ทักษะด้านการประสมแนวความคิด  (Conceptual Skill)

  • นำเสนอประเภทของโรงเรียน

การประยุต์ใช้
     สามารถนำหลักการ แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารสถานศึกษาไปปรับใช้ได้จริงในารทำงานในอนาคต เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเห็นถึงข้อแตต่างของระบบราชการได้ชัดขึ้น

การประเมินผล
  • ประเมินตนเอง   ตั้งใจเรียน จดบันทึกตามที่อาจารย์สอน
  • ประเมินเพื่อน   เพื่อนๆให้ความสนใจในเนื้อหาที่เรียน สอบถาม
  • ประเมินครูผู้สอน   อธิบายฟังเข้าใจง่าย มีการยกตัวอย่างให้เสมอ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น